ในเดือนตุลาคม 2553 นี้ นับว่าเป็นเดือนแห่งมงคลฤกษ์ เนื่องจากมีสองเหตุการณ์อยู่ในวันเดียวกัน นั่นคือ วันที่ 23 ตุลาคม 2553 เป็นวันปวารณาออกพรรษา และวันปิยมหาราช นับเป็นฤกษ์ดีของชนชาวพุทธและชาวไทยทุกคน เมื่อกล่าวถึงวันปิยมหาราช ทำให้น้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของล้นเกล้ารัชกาลที่ 5 ซึ่งได้มีต่อปวงชนชาวสยามนั่นคือ “การรถไฟไทย”
กิจการรถไฟของไทยนั้น ได้เกิดขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2429 ตรงกับรัตนโกสินทร์ศกที่ 105 ไทยได้ให้สัมปทานแก่บริษัทชาวเดนมาร์กสร้างทางรถไฟสายแรกจาก กรุงเทพมหานคร ถึงสมุทรปราการ เป็นระยะทาง 21 กิโลเมตร ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2433 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงโปรดเกล้าให้ตั้งกรมรถไฟหลวงขึ้น โดยสังกัดกระทรวงโยธาธิการ เมื่อวันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2439 พระองค์เสด็จประกอบพระราชพิธีเปิดการเดินรถไฟระหว่าง กรุงเทพมหานครถึงอยุธยา เป็นระยะทาง 71 กิโลเมตร ซึ่งทางการได้ถือเอาวันนี้เป็นวันสถาปนากิจการรถไฟหลวง ปัจจุบันทางรถไฟที่สำคัญของประเทศไทยมีอยู่ด้วยกันทั้งสิ้นรวมสี่สาย คือ สายเหนือ ถึงจังหวัดเชียงใหม่และสุโขทัย สายใต้ ถึงประเทศมาเลเซีย สายตะวันออก ถึงจังหวัดสระแก้ว และสายตะวันออกเฉียงเหนือ ถึงประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวและอุบลราชธานี รวมเป็นระยะทาง 3,855 กิโลเมตร (ข้อมูลจาก http://th.wikipedia.org/)
รถไฟ เป็นยานพาหนะที่สามารถเคลื่อนที่ไปตามราง มีทั้งรางเดี่ยวและรางคู่ รถไฟสมัยนี้ต่างกับสมัยก่อนมาก สมัยดั้งเดิมจะขับเคลื่อนด้วยหัวรถจักรหรือขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ใต้ท้องรถ ส่วนสมัยใหม่จะใช้กำลังจากหัวรถจักรดีเซลหรือจากไฟฟ้าที่ส่งมาตามสายไฟเหนือตัวรถ เริ่มมีเมื่อประมาณ 300 กว่าปีที่ผ่านมา ยุคแรกขับเคลื่อนโดยใช้หม้อต้มน้ำขนาดใหญ่ แหล่งพลังงานในการขับเคลื่อนมาจากฟืน ทำให้เกิดไอน้ำที่มีกำลังพุ่งแรงจนเกิดแรงดันไปขับเคลื่อนกลไกให้ล้อเคลื่อนที่ เราจึงเรียกรถชนิดนี้ว่า “รถจักรไอน้ำ” จอร์จ สตีเฟนสันคือนักวิทยาศาสตร์ผู้ทำการประดิษฐ์และพัฒนารถจักรไอน้ำตัวแรก ชื่อว่า “ร็อคเก็ต” โดยนำมาใช้ลากแทนม้า จากนั้นเรื่อยมารถไฟจึงได้วิวัฒนาการจากการขนวัสดุอุตสาหกรรมมาเป็นการขนส่งผู้โดยสารและสินค้า
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น